วัดบางกุ้งเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีจุดเด่นคือ อุโบสถของวัดถูกปกคลุมด้วยรากของต้นโพธิ์ ต้นกร่าง ต้นไกร และต้นไทร โดยเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน แต่ไม่มีช่อฟ้าใบระกาแบบวัดไทยทั่วไป ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อนิลมณี(หรือ"หลวงพ่อดำ”ตามที่ชาวบ้านเรียกกัน)และยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ
ปัจจุบันวัดบางกุ้งพัฒนาขึ้นอย่างมากโดยเจ้าอาวาส พระวินัยธร องอาจอาริโย และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม
อุโบสถหลังนี้เป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติล้วนๆเพราะมีต้นโพธิ์ ต้นกร่าง ต้นไทร และต้นไกรขึ้นพันล้อมอย่างเหนียวแน่นราวกับโครงเหล็กที่ยึดอาคารเก่าแก่หลังนี้ไม่ให้พังทลายจนเป็นที่มาของชื่อ“โบสถ์ปรกโพธิ์” นอกจากชื่อเสียงของอุโบสถแล้ว นักท่องเที่ยวหลายคนยังมากราบไหว้หลวงพ่อนิลมณีอีกด้วย
- จากที่บอกไปว่า มีต้นโพธิ์ ต้นไกร ต้นกร่าง และต้นไทรขึ้นล้อมรอบอุโบสถในทุกด้าน จนมีเรื่องน่าแปลกอยู่หนึ่งอย่างก็คือ สำหรับความเก่าแก่ของอุโบสถนั้น ส่วนไหนที่เสี่ยงต่อการพังทลาย รากและกิ่งก้านจะยึดเหนี่ยวอย่างหนาแน่น ส่วนใดที่อยู่ในสภาพดี กลับมีการรัดล้อมที่น้อยมาก ตอนนี้ทีมงานขอเดินชมไฮไลต์รอบอุโบสถก่อนแล้วกัน
บน – ต้นโพธิ์บดบังจนแทบไม่เห็นผนังอุโบสถเลย ขณะที่หน้าต่างและประตูทางเข้าอุโบสถจะไม่มีต้นไม้เลื้อยมาปิดช่องทางใดๆ
เดินชมบรรยากาศรอบอุโบสถอีกสักภาพ
ซ้ายบน – โบสถ์ปรกโพธิ์ด้านที่เป็นต้นกร่างเลื้อยขึ้นมาจนดูราวกับประมาติมากรรมชิ้นเอก
ขวาบน - คราวนี้เป็นภาพอุโบสถทั้งหลังที่โดนปกคลุมด้วยต้นไม้ทั้งสี่ชนิดบ้าง มองไกลๆแทบไม่รู้เลยว่า มีอุโบสถอยู่ สำหรับซ้ายมือจะมีตะเกียงน้ำมันให้จุดไฟ นักท่องเที่ยวสามารถจุดธูปเทียนและไหว้ที่หน้าอุโบสถก่อน แล้วค่อยเข้าอุโบสถเพื่อปิดทองและกราบไหว้หลวงพ่อนิลมณีต่อ (จากภาพ ถ้าลองสังเกตใต้อักษร nd เราจะเห็นหุ่นทหารชุดแดงยืนอยู่ ซึ่งหุ่นนี้ตั้งประดับทั้งสี่มุมของโบสถ์ปรกโพธิ์ ส่วนประวัติความเป็นมามีดังนี้ พระเจ้าเอกทัศน์โปรดให้กองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง จึงเรียกว่า“ค่ายบางกุ้ง” โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหารเนื่องจากจุดนี้เป็นเส้นทางที่พม่าใช้เดินทัพมาตีไทย ต่อมาในปี พ..ศ.2310 หลังจากที่พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว ค่ายบางกุ้งจึงไม่มีทหารประจำการ กระทั่งพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้เอกราชกลับคืนมาได้และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ในปีเดียวกัน พระองค์โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี รวบรวมผู้คนมาตั้งเป็นกองทหารเพื่อรักษาค่าย จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า“ค่ายจีนบางกุ้ง” ซึ่งทหารจีนส่วนใหญ่เป็นลูกเรือสำเภาที่มาถวายตัวรับราชการกับพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงให้ชื่อทหารเหล่านี้ว่า”ภักดีอาสา” ต่อมาในปี พ.ศ.2311 พระเจ้ากรุงอังวะ กษัตริย์พม่าได้ให้แมงกี้มาราหญ่า (เจ้าเมืองทวาย) ยกทัพมาสืบข่าวสภาพบ้านเมืองในสมัยกรุงธนบุรีว่าเป็นอย่างไรเพราะเป็นช่วงที่ไทยกำลังผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ เจ้าเมืองทวายจึงยกพลเดินทัพทางบกเข้ามาทางไทรโยค แล้วล้อมค่ายบางกุ้งไว้ ทหารภักดีอาสาได้สู้รบกับทหารพม่าที่เข้าโจมตีค่ายบางกุ้งอยู่หลายครั้ง แต่ไม่สามารถเข้ายึดค่ายได้ ทางคณะกรรมการเมืองได้แจ้งมายังกรุงธนบุรีเพื่อขอกำลังมาช่วยรบ เมื่อสมเด็จพระจ้าตากสินมหาราชทราบข่าว จึงยกทัพมาถึงค่ายบางกุ้งในเวลากลางคืนและจอดเรือพักทัพที่ฝั่งตรงข้ามกับค่าย โดยที่ทหารภักดีอาสาและทหารพม่าไม่ทราบเนื่องจากเป็นช่วงข้างแรมเดือนมืด ครั้นเวลายามสาม ทรงนำกำลังทหารเข้าตีพม่าด้านท้ายค่าย การรบครั้งนี้ตะลุมบอนด้วยอาวุธสั้น เมื่อทหารจีนในค่ายทราบว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จมาบัญชาทัพด้วยพระองค์เอง ก็เกิดกำลังใจเปิดประตูค่ายตีกระหนาบพม่าอีกทางหนึ่ง แมงกี้มาราหญ่าเจ้าเมืองทวายเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงถอยทัพกลับเมืองทวายไป จากนั้นในปี พ.ศ.2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงเสด็จมาที่ค่ายบางกุ้งอีกครั้งเพื่อยกทัพไปรบพม่าที่ค่ายบางแก้ว เมืองราชบุรี ทรงหยุดกองทัพพักพลและเสวยพระกระยาหารที่วัดกลางค่ายบางกุ้งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2317)
ขวากลาง – เราจะเห็นบรรยากาศภายในอุโบสถจากประตูทางเข้าอย่างชัดเจน ผู้ชายยืนถ่ายรูป คนเดินขึ้นไปข้างหลวงพ่อนิลมณีเพื่อปิดทอง และกลุ่มผู้หญิงที่นั่งกราบไหว้อยู่ด้านล่าง (จากภาพ หลวงพ่อนิลมณี(หรือหลวงพ่อดำ)เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งเป็นพระประธานอยู่ในอุโบสถ)
ซ้ายกลาง – จิตกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติในอุโบสถที่ยังหลงเหลืออยู่
- ด้านหลังอุโบสถยังมีศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์ด้วย
ซ้ายล่าง – "ศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์" ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2531 วัดบางกุ้งยังเป็นป่ารกร้าง พระวินัยธร องอาจอาริโยได้เดินธุดงค์มาที่วัดบางกุ้งและปักกลดอยู่ข้างโบสถ์หลวงพ่อนิลมณีหรือโบถส์ปรกโพธิ์ ซึ่งบรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตอนกลางคืนยามดึก ขณะเจริญกรรมฐาน มักจะเกิดนิมิตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งชุดไทยโบราณมากราบไหว้หลวงพ่อนิลมณีที่หน้าอุโบสถเป็นประจำ ซี่งก็คือ องค์หญิงมณฑาพิพย์นั่นเอง พระวินัยธรจึงแกะสลักไม้เป็นองค์หญิงตามนิมิตและสร้างศาลให้องค์หญิง (จากภาพ ประวัติขององค์หญิงมณฑาทิพย์ องค์หญิงเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.2291 โดยเป็นบุตรีของกรมหลวงบวรวังในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ขณะนั้นบ้านเมืองมีเหตุเดือดร้อนและการฉ้อราษฏร์บังหลวง ผู้ครองแผ่นดินลุ่มหลงในกามา หากใครมีบุตรี ต้องนำมาถวายตัว ใครขัดขืน จะถูกประหารชีวิต เมื่อบุตรีของกรมหลวงบวรวังเติบโดเป็นสาว จึงให้แต่งตัวเป็นชายและฝึกศิลปะการต่อสู้ องค์หญิงจึงเชี่ยวชาญเรื่องอาวุธตลอดจนเวทมนต์คาถา เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่ายกกองทัพประชิดเมือง บิดาจึงสั่งให้บ่าวไพร่ต่อเรือพร้อมคุ้มกันองค์หญิงเพื่อหลบหนี กองเรือล่องน้ำมา 3 วัน ก็พบกับกองเรือพม่า องค์หญิงจึงสั่งให้พลพรรคเข้าโจมตีเวลาดึก จนฆ่าทหารพม่าซึ่งกำลังหลับเพราะเมามายแทบหมดสิ้น รุ่งเข้า พม่าส่งกำลังติดตาม องค์หญิงได้ร่ายเวทมนต์กำบังพรางตาทหารพม่า กองเรือจึงหนีรอดมาได้ และเมื่อคราวศึกบางกุ้ง องค์หญิงก็คุมกำลังเข้าช่วยรบจนชนะพม่าเช่นกัน เมื่อองค์หญิงสิ้นอายุขัย ดวงวิญญาณจึงผูกพันกับวัดบางกุ้งและคอยแผ่บารมีช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อน ณ ศาลแห่งนี้)
- บริเวณหน้าวัดบางกุ้ง ถ้านักท่องเที่ยวเดินข้ามถนนสองเลนไป มีร้านขายของด้วย
ขวาล่าง - ร้านสินค้าจะเป็นเพิงโครงเหล็กที่แบ่งเป็นล็อกๆเรียงติดกันหลายห้องอยู่ริมถนน นอกจากนี้ยังมีรถโมบายอีกหนึ่งคัน ข้าวของที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้าบริโภค
รายการสินค้า - หมวดอาหารพร้อมที่นั่งมีข้าวมันไก่ ข้าวหมูย่าง ส้มตำ ผัดกะเพรา(หมูสับ ไก่ หมึก กุ้ง หรือรวมมิตร) ผัดฉ่าปลาดุก ข้าวผัด ไข่ดาว ไข่เจียว ผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำแดง หอยทอด ราดหน้า ลาบหมู น้ำตกหมู ลาบวุ้นเส้น ต้มเครื่องในหมู ต้นแซ่บเครื่องในหมู ตับหวาน คอหมูย่าง และข้าวเหนียว เครื่องดื่มปรุงที่ร้านมีมอกค่า ลาเต้ คาปูชิโน อเมริกาโน นมเย็น ชาเย็น และอิตาเลียนโซดา เครื่องดื่มอื่นๆมีเก๊กฮวย ใบบัวบก มะตูม และน้ำกระเจี๊ยบ หมวดเครื่องดื่มในตู้เย็นและแช่น้ำแข็งมีโค้ก เป๊ปซี่ สไปรท์ เบอร์ดี้โรสบัสตา น้ำดื่มน้ำทิพย์ น้ำดื่มคริสตัล น้ำดื่มสิงห์ คาราบาว กระทิงแดง วู้ดดี้ซีล็อก ฉลาม เอ็มร้อยห้าสิบ สปอนเซอร์ เรดดี้บูตรสโกจิเบอร์รี เอส โออิชิ(รสต่างๆคือ องุ่นเคียงโฮผสมวุ้นมะพร้าว น้ำผึ้งมะนาว และข้าวญี่ปุ่น) ยาคูลท์ อิชิตัน(รสต้นตำรับและเย็นเย็นสูตรเก๊กฮวยผสมน้ำผึ้ง) และดัชมิลล์โฟร์อินวัน(รสต่างๆคือ สตรอว์เบอร์รี ส้ม และมิกซ์เบอร์รี) ของกินเล่นอื่นๆมีไอศกรีมวอลล์ ไอศกรีมนมหนองโพ ทอฟฟี่ถั่ว พายสับปะรด ลูกอมจูปาจุ๊ปส์ ทองม้วนกรอบ และน้ำแข็งไส(ที่มีเครื่องต่างๆคือ มันเชื่อม วุ้นมะพร้าว เฉาก๊วย ข้าวโพด ฟักทองเชื่อม ขนมปัง น้ำหวานเข้มข้น และน้ำเชื่อม) น้ำผลไม้มีน้ำมะพร้าวผสมเนื้อ(ไม่ใส่น้ำเชื่อม)เป็นถุงและมะพร้าวเป็นลูก ส่วนของฝากมีกะปิคลองโคน ปลาย่าง ส้มโอ น้ำตาลมะพร้าว และน้ำผึ้งหลวงขวด หมวดสินค้าอุปโภคมียาดมโป๊ยเซียน ทิชชู่ และน้ำยาล้างจาน
TODAY | THIS MONTH | TOTAL | |||
353 | 5290 | 297682 |